วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2552

ลาก่อน สสส.




กระบวนการสรรหาผู้บริหาร สสส. คือ โศกนาฏกรรมของธรรมาภิบาลไทย...


นับแต่ความพยายามแรกที่ "คนใน สสส." พยายามดำเนินการอย่างปิดลับที่สุด เชื่อว่ามีการวางตัว "คนใน" เพื่อสืบต่ออำนาจบริหารชุดเดิมอย่างแม่นมั่น หลีกเลี่ยงการแข่งขันอย่างเสรี....


เมื่อภาคีส่วนหนึ่ง ซึ่งเคยร่วมทุกข์ ร่วมสุข เคยมีบทบาทหลักในการปกป้อง สสส. เมื่อคราบถูกคุกคามจากนักการเมือง คราวศึกปุระชัย...ได้ทราบข่าว แล้วมีความเห็นร่วมกันว่า น่าจะดำเนินการสรรหา ผจก.ใหม่ สสส.อย่างโปร่งใส เป็นธรรมกับทุกฝ่าย....


จึงเริ่มแสดงความเห็นอย่างเป็นธรรมชาติผ่าน Forword mail และ Blog นี้...จุดติด เกิดเป็นกระแสใหญ่ในการจับจ้องมอง สสส. ด้วยสายตาที่เคลือบแตลงใจ....


จนคนที่"จัดการ"อยู่ภายใน สสส.จำต้องเปิดเผยขั้นตอนการสรรหา อย่างเสียมิได้...แต่ก็ยังปกปิดรายชื่อกรรมการสรรหา ผู้สมัคร ขั้นตอน เกณฑ์การพิจารณา ทีเป็นสากล...


และรีบเร่งรัดขั้นตอนการสัมภาษณ์ และเปลี่ยนแปลงรีบรวบรัดนำเรื่องเข้าบอร์ดใหญ่ก่อนเวลาที่ประกาศใว้ถึง ๑ เดือนเต็มๆ ...แบบว่ารีบเร่งกันจนทุลักทุเล...น่าสมเพชยิ่งนัก....


ด้วยเป็นเพราะกระแส Forward mail แรงขึ้นเรื่อยๆ ขยายกว้างออกไปเรื่อยๆ จนถึงสื่อมวลชน มีบทความเปิดโปงการบริหารงาน สสส. ตีพิมพ์ใน ผู้จัดการรายวัน , ไทยโพสต์ , โพสต์ทูเดย์ , คมชัดลึก ....เปิดโปง และก็ เปิดโปง...


จึงเป็นที่มาของ "การฆาตกรรม ความโปร่งใส ใน สสส." อย่างเป็นทางการเมื่อวานนี้...


นับเป็นโศกนาฎกรรมหลักธรรมาภิบาลในองค์การอิสระที่เคยเป็นความหวังหนึ่งของสังคมไทย...


ต้องจากใว้ ณ ที่นี้ว่า คนในระดับที่สั่งสมคุณูปการ เกียรติยศ ศักดิ์ศรี และคุณธรรมมาทั้งชีวิต ดังเช่น หมอบรรลุ , หมออุดมศิลป์ , หมอวิชัย , หมอประกิต....ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการฆาตกรรมความโปร่งใสในกระบวนการสรรหาที่แสนอัปยศในครั้งนี้.....


อย่างไรก็ตาม แม้นท่านมีอำนาจ ทำทุกอย่างเพื่อปกปิดความฉ้อฉลในการบริหารงาน สสส.ร่วมกันในช่วงที่ผ่านมา โดยต่อต้านคนนอก โดยต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ในครั้งนี้ได้ก็ตาม...


แต่ท่านอย่าหวังเลยว่า ท่านจะเก็บขุมทรัพย์สองพันล้านนี้ซุกซ่อนหลบหลีกการตรวจสอบจากพลังทางสังคมสาธารณะได้เหมือนที่ผ่านมา...


เมื่อวานอาจเป็นวันฆ่านกพิราบ...แต่ก็เป็นวันเกิดของเหยี่ยวที่จะจับจ้อง เฝ้ามองการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมของพวกท่านต่อไป อย่างไม่มีที่สิ้นสุด.....


ลาก่อน ความโปร่งใส ใน สสส. จงไปสู่สุคติเถิด ธรรมาภิบาล ใน สสส.


สวัสดี

คันธง

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552

เปิดรับฟังความเห็น...สสส.ที่อยากให้เป็น ?


หลังจากพี่น้องผู้มีสำนึกสาธารณะ และตระหนักในคุณค่าของ สสส. ในสถานภาพของการเป็นองค์กรอิสระที่มีขอบเขตในการทำงานที่กว้างขวาง รวมทั้งงบประมาณจำนวนไม่น้อยที่สามารถส่งเสริมการพัฒนาสังคมอย่างสร้างสรรค์ได้นั้น ได้ผลักดันประเด็นการสรรหา ผจก. สสส.ที่มีเงื่อนงำและความมุ่งหวังที่จะดำเนินการเป็นการภายใน ให้กลายเป็นประเด็น สาธารณะ ต้องเปิดเผย อยู่ในที่แจ้ง อยู่ในสายตาของสังคมทั่วไปอย่างกว้างขวางแล้วนั้น
บัดนี้ เราเห็นแล้วว่า พี่น้องประชาชนได้ตระหนักและพร้อมกำกับ ตรวจสอบ องค์กรอิสระ ในฐานะพลเมืองผู้ตื่นรู้ พร้อมดูแล สสส. อย่างใกล้ชิด เปิดเผย ตรงไปตรงมา ตามหลักธรรมภิบาล...
ในการนี้ เราจึงอยากเชิญชวน พี่น้องประชาชน ร่วมแสดงตัวแสดงตน ในหนทางที่สร้างสรรค์ โดยการระดมความคิดเห็น และความเรียกร้องต้องการของตน ที่คาดหวังต่อ การเปลี่ยนแปลงใน สสส. ที่อยากให้ สสส. เป็นไป...แบบไหน ? อย่างไร ?
ร่วมทำให้คำว่า "สสส. ต้องเป็นของประชาชน..." ปรากฏผลเป็นรูปธรรมต่อไป.
สสส. ต้องการการเปลี่ยนแปลง.

วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2552

คำถาม ถึง คน สสส.



คนใน สสส.ทำหน้าที่ให้ทุนคนอื่นและตรวจสอบคนอื่นตลอดมา....
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ คนใน สสส.ต้องตรวจสอบตัวเองเป็นครั้งแรก....
กับคำถามว่า "พวกคุณมีความจริงใจและโปร่งใสแค่ไหนในการทำกระบวนการสรรหา ผู้จัดการ สสส.คนใหม่?"
ทำไมหลังจากปิดรับสมัครไปแล้วเกือบ 2 สัปดาห์ จึงยังไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ ว่าขั้นตอนต่างๆเป็นอย่างไร มีใครบ้างเป็นผู้สมัครบ้าง มีใครเป็นกรรมการบ้าง มีใครบ้างที่เกี่ยวข้องในกระบวนการทั้งหมด....
ไม่มีใครในพวกคุณ...รู้สึกผิดปกติหรือสำนึกภายในเรียกร้องให้ทำสิ่งที่ถูกต้องบ้างหรือ!!!!
หากพวกคุณจะอ้างว่า "เออ ที่ปิดบังเพราะกรรมการจะได้ทำงานง่ายขึ้นและเป็นธรรมต่อผู้สมัครทุกคน"
ก็ย่อมพูดได้แต่จะเป็นธรรมได้อย่างไร ?
ในเมื่อถึงวันนี้ แม้แต่ตัวผู้สมัครเองก็ยังไม่รู้ว่ากำลังแข่งกับใครบ้างหรืออันที่จริงกำลังแข่งอยู่กับอะไร!!!
สสส. พอช. สปสช. ตั้งขึ้นเพราะสังคมหมดหวังกับธรรมาภิบาลในองค์กรเก่าๆที่ตั้งขึ้นก่อนรัฐธรรมนูญปี 2540 ไม่ใช่หรอกหรือ?
สสส.จึงเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าธรรมาภิบาลไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันของอาจารย์ผู้ใหญ่เช่น คุณหมอประเวศ วะสี อาจารย์ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม คุณหมอบรรลุ ศิริพานิช คุณหมอวิชัย โชควิวัฒน เป็นต้น
หลังจากที่ พอช. สปสช.ไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นได้เลย คุณหมอสุภกร บัวสาย ทำดีตลอดมา ได้รับเสียงชื่นชมอย่างสูงจากสังคม จึงมีอนาคตอีกยาวไกล
พวกเราจึงอยากเตือนคุณหมอว่า 'อย่ามาตายตอนจบ' เพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ส่วนตัวและพวกพ้อง มากกว่าผลสัมฤทธิ์เพื่อส่วนรวมและประเทศชาติเลย
ด้วยความปรารถนาดีจากกลุ่มคนรัก สสส.
โปรดส่งต่อไปยังคนมีเชื่อว่าธรรมาภิบาลมีจริงและยังพอมีความหวังกับสังคมด้วย...

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552

คลี่ม่านแดนนธยา...



คลี่ม่านแดนสนธยา ผ่าอาณาจักรสองพันล้าน ; สสส. ในระยะเปลี่ยนผ่าน...

ยุคก่อนพูดถึงแดนสนธยา ในจินตภาพของ องค์กรที่ลึกลับ ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน มีพฤติกรรมเกาะเกี่ยวเหนียวแน่น เฉพาะกลุ่มพวกตน จนมีลักษณะเป็นอาณาจักรลี้ลับ ที่มืดมัว มองจากภายนอก เห็นได้ไม่ชัดนัก ว่าคนในองค์กรนั้นทำอะไรอยู่ข้างใน ไม่เป็นที่ประจักษ์ เสมือนหนึ่งแดนสนธยา ก็คือ อสมท. นั้น
ในยุคปัจจุบัน มีหน่วยงาน กลไก องค์กรอีกหลายแห่งที่บริหารงานภายหลังม่านหนา บาง ที่ขวางกั้นระหว่างการดำเนินกิจกรรมภายในหน่วยงานหรือองค์กรนั้น กับ การจับตา เฝ้ามองของประชาชน พลเมืองที่มีสำนึกรับผิดชอบต่อสาธารณะ
สสส. หรือ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ก็คือหนึ่งในจำนวนนั้น
จะด้วยลักษณะการจัดตั้งองค์กร ที่มีลักษณะพิเศษ ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน คือ มีลักษณะเป็นหน่วยงานของรัฐที่มิใช่ส่วนราชการ หรือรัฐวิสาหกิจ จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ.2544 อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี มีรายได้จากภาษีสรรพสามิตยาสูบและสุรา ในขณะเดียวกันก็มีพันธกิจในทางตรงข้ามกับแหล่งที่มาของรายได้ คือ มีการณรงค์ให้คนลด ละ เลิก เหล้า บุหรี่
ภายใต้วิสัยทัศน์ที่คัดง้างแนวทางการบริหารจัดการด้านสุขภาพอนามัยเดิม ที่เน้นความหมายของการดูแลสุขภาพอนามัยของประชาชน ในเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ คืออาการทางกายภาพเป็นหลัก แต่ สสส.มีวิสัยทัศน์ในทิศทาง แนวทางใหม่ ที่ขยายบริบทการดูแลทางกายภาพ มาเป็นการสร้างวาทกรรมใหม่คือ “สุขภาวะ” ในความหมายของภาวะองค์รวม ของ สุขภาพกาย ใจ จิต วิญญาณหรือปัญญา และชุมชนหรือสังคม ล้วนนำสู่ “คนไทยมีสุขภาวะอย่างยั่งยืน”
ด้วยความพิเศษขององค์กรที่มีที่มา ลักษณะ แนวคิด ที่สลับซับซ้อนเช่นนี้ จึงอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนที่เข้ามารับผิดชอบองค์กรนี้ในระดับบริหารเกือบทุกลำดับชั้นนั้น ก็คือ คุณหมอ ทั้งหลายนั่นเอง
คุณหมอที่ถือได้ว่าเป็นบุคลากรสำคัญชั้นหัวกระทิของสังคมไทย ที่มีความเก่ง เป็นเลิศมาทั้งชีวิต เมื่อมารวมกันในองค์กรที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน จึงยิ่งมีความเชื่อมั่นในตนเองว่าตนเองรอบรู้และเชี่ยวชาญในทุกเรื่อง เพราะ สสส.มีขอบเขตการดำเนินงานที่กว้างขวาง มีหน่วยงานภายในถึง ๙ สำนัก กับ ๑๓ แผนงานยุทธศาสตร์สำคัญ ซึ่งต้องการผู้บริหารที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน แต่การบริหาร การตัดสินใจเฉพาะเรื่อง เฉพาะทาง เช่น ด้านการพัฒนาชุมชนท้อถิ่น การสื่อสารสาธารณะ การจัดการเรียนรู้ เป็นต้น
การนำองค์กรที่มีลักษณะพิเศษ ด้วยคนกลุ่มพิเศษ ในภารกิจพิเศษ โดยขาดสติยั้งคิดในการเปิดเผย อย่างโปร่งใส จึงทำให้ สสส. หลุดเข้าไปอยู่ใน “แดนสนธยา” อย่างไม่รู้ตัว แปลกแยกจากสังคม สาธารณะไปเรื่อยๆ
สสส. ที่ถูกทำให้เป็นโลกส่วนตัวของคุณหมอทั้งหลาย เสมือนเกาะที่ไร้รากยึดเหนี่ยวจึงไหลเรื่อยไปตามกระแสน้ำเชี่ยวของการพัฒนาตามนโยบายรัฐที่ครอบงำโดย กลุ่มทุนการเมืองและกระแสโลกาภิวัตน์ อย่างมิอาจเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนได้อย่างที่ควรจะเป็น
การเปลี่ยนแปลงใดๆ ภายในองค์กรของ สสส.ในร่มเงามืดครึ้มของความเป็นดินแดนสนธยา จึงนำมาซึ่งความไม่โปร่งใส และขัดกับหลักธรรมาภิบาล
โดยเฉพาะกระบวนการคัดสรรผู้บริหารหมายเลข ๑ ขององค์กรที่มีอายุสมัยละ ๔ ปีในตำแหน่ง ซึ่งหากย้อนหลังไป ๔ ปีที่แล้ว ผู้บริหารเบอร์ ๑ สมัยแรกมุดน้ำดำดินเข้าสู่เก้าอี้เดิมในสมัยที่สองอย่างชนิดที่ทุกคนไม่ทันกระพริบตา แม้ผู้สมัครแข่งขันท่านหนึ่งต้องมึนงงอย่างยิ่งที่ตัวเขาในฐานะผู้สมัครเข้ารับการคัดสรร ไม่มีโอกาสแม้การเรียกไปสัมภาษณ์หรือแสดงวิสัยทัศน์ใดๆ ทั้งสิ้น
และความแปลกพิสดารของการคัดสรรครั้งใหม่ก็หวนกลับมาอีกครั้งในเดือนที่ผ่านมา มีประกาศเล็กๆเพียงสองสามบรรทัดบนหน้าแรกของเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ สสส.เหมือนจงใจไม่ให้เป็นที่สังเกตเห็นของผู้คน ไม่มีรายละเอียดกระบวนการสรรหา ไม่มีรายชื่อกรรมการสรรหา ไม่มีกำหนดเวลา ไม่มีรายชื่อผู้สมัคร ไม่มีการเปิดเผยอย่างโปร่งใส
ทำให้ผู้เฝ้าจับตาดูด้วยใจระทึก อดนึกไม่ได้ว่ากระบวนการคัดสรรที่แสนจะลึกลับนี้ ทำเสมือนหนึ่งว่ามีการ “วางตัว” คนในหมู่หมอๆของ สสส.ไว้แล้ว
มิหนำซ้ำยังมีกระบวนการพิสดารที่สำนักงานจะต้อนผู้สมัครทั้งหมดไปเก็บตัวที่สามพรานในวันที่ ๑๑-๑๒ กันยายนนี้ เพื่อปฐมนิเทศผู้สมัคร ซึ่งเป็นผู้สมัครในตำแหน่งสูงสุดคือหมายเลข ๑ ขององค์กรซึ่งต้องเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารสำนักงาน ต้องมาเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่สำนักงานที่จะอบรมผู้สมัครนี้ เป็นงูกินหาง แต่อีกนัยหนึ่งมองได้ว่าองค์กรปิดจากแดนสนธยานี้ มีความพยายามจะเข้าครอบงำผู้ที่จะมาเป็น ผู้บริหารคนใหม่ โดยเริ่มกระทำการตั้งแต่ยังเป็นผู้สมัคร
ทำไม สสส.ในฐานะองค์กรสำคัญเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งประเทศ และบริหารจัดการองค์กรด้วยบุคลากรระดับมันสมองที่มีคุณภาพ จึงกระทำการในแง่มุมที่ส่อเสี่ยงหมิ่นเหม่ต่อคุณธรรม และธรรมาภิบาลของการบริหารองค์กรสาธารณประโยชน์เช่นนี้
ทำไม สสส. จึงฝังตนเองไว้ในม่านหมอกควันแห่งแดนสนธยาที่มัวซัวเช่นนี้ ไม่สร้างความโปร่งใสในกระบวนการบริหารจัดการให้เป็นที่ประจักษ์
ทำไม ? ทำไม ? และ ทำไม ?
ต้องติดตามตอนต่อไป เมื่อผ่าอาณาจักรของหมอๆ ก็พบเดิมพันงบประมาณกว่าปีละสองพันล้านที่ต้องผ่าทางเดินของงบประมาณเหล่านี้ว่าจะนำไปสนองตอบต่อใคร ? ในภารกิจใด ?
โปรดติดตามตอนต่อไป (เพราะยังไม่จบข่าว ! )

วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2552

คุณค่าของ สสส.


คุณค่า ของ สสส.
แม้ ชื่อของ สสส. คือ สำนักงานกองทุนสร้างเสริมสุขภาพ ฟังดู คล้ายจะเป็นเรื่องของสุขภาพ อนามัย เป็นสำคัญ ซึ่งหากเป็นความหมายในทางแคบ ย่อมจำกัดการมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้องเพียงกลุ่มหมอ พยาบาล คนในวงการสาธารณสุข กับ ผู้ป่วย เท่านั้น
การขยายบริบทความหมายเดิมจาก "สุขภาพ" หรือความแข็งเรง หรือเจ็บไข้ได้ป่วย ที่เป็นความหมายแคบ ซึ่งเป้นการมองเห็นปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น การแก้ไขปัญหาก็มีต้องตามรักษาการเจ็บไข้ได้ป่วยของประชาชนพลเมืองอยู่ร่ำไป แก้อย่างไร ทุ่มเทงบประมาณมหาศาลลงไปเท่าไหร่ก็ไม่พอ ก็ก้ไม่ได้อย่างแท้จริง
จนเมื่อผู้อาวุโสในวงการฯ ได้จุดประกายให้ทบทวนบริบทหรือขอบเขตความหมาย โดย ขยายเป็น "สุขภาวะ" ที่มีความหมายขยายกว้าง ครอบคลุมชีวิต ตังแต่เกิดจนตาย โดย ครอบคลุมถึง กาย ใจ จิตวิญญาณ และ สังคม/ชุมชน ที่เป็นสภาพแวดล้อมที่มีส่วนกำหนดคุณภาพชีวิตของผู้คน
การตีความคุณค่าของ สสส. จากความเป็นจริง จึงอาจไม่ต้องเป็นเรื่องเดียวกันเสมอไปกับสิ่งที่ปรากฏในเอกสารแนะนำตัวหรือจาก เว็บไซต์ อย่างเป็นทางการของ สสส. ก็ตาม
สสส. จึงมีคุณค่าในฐานะองค์กรอิสระ ที่ทำหน้าที่ มากกว่า การดูแลรักษาสุขภาพแบบดั้งเดิมเท่านั้น แต่ยังเป็นความหวังในการเป็นแหล่งเงินทุน ผู้ประสานงาน ผู้จุดประกาย ผู้ขายความคิด ฯลฯ ในการทำงานประสานร่วมกับขบวนการภาคประชาชน องค์กร เครือข่าย และภาคประชาสังคม ในการเข้าทำงานขับเคลื่อนทางสังคม ที่ยึดถือ คน เป็นศูนย์กลาง มีความอยู่ดีมีสุข...
สสส. จึงมิใช่องค์กรที่มีความหมายและคุณค่าเฉพาะกลุ่ม เฉพาะพวก เฉพาะตน เท่านั้น...
แต่ สสส. จะเป็นองค์กรที่มีคุณค่า และความหมาย สำหรับ พวกเราทุกคน...
นั่นคือเหตุผลที่เราต้องจับจ้องมองดูการดำเนินการของ สสส.อย่างใกล้ชิด
โดยเฉพาะ ช่วงระยะสำคัญ ช่วงนี้ ที่มีการสรรหา ผู้จัดการ สสส.คนไหม่.....
จงช่วยกันจับจ้องมองดู กระบวนการที่ สสส.กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้...
เพื่อความโปร่งใส มีธรรมาภิบาล อย่างแท้จริง.

วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552

จับตาการเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร สสส. ต้องโปร่งใส...

สสส. หรือ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เป็นหน่วยงานของรัฐที่มิใช่ส่วนราชการ หรือรัฐวิสาหกิจ จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ.2544 อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี มีรายได้จากภาษีสรรพสามิตยาสูบและสุราในอัตราร้อยละ 2 ต่อปี ทำหน้าที่ จุดประกาย กระตุ้น สนับสนุน ประสานความร่วมมือเพื่อ ให้คนไทยริเริ่มกิจกรรมหรือโครงการสร้างเสริมสุขภาพ และ มีเงินทุนใช้ในการดำเนินงานปีละไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท

เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีประกาศรับสมัครผู้บริหารสูงสุดขององค์กรที่มีส่วนสำคัญในการดูแลสุขภาวะ
ผู้คนทั้งประเทศ และต้องบริหารงบกว่าสองพันล้าน ด้วยประกาศเล็กๆ ตัวอักษรแค่สองบรรทัด ซุกซ่อนอยู่บนหน้าเว็บไซต์อย่างเป็นทางการ ของ สสส.

อาการเช่นนี้ "สสส". ต้องมีคำตอบต่อสังคมไทยครับ.

คนไทยที่รัก ข่วยกันจับตาด้วยครับ.

วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ฟ้าเปลี่ยนสี




ฟ้าเปลี่ยนสี...
ตราบเท่าที่สรรพสิ่งยังเปลี่ยนแปลง...
สังคม ชุมชน ท้องถิ่น...
บุคลากร องค์กร หน่วยงาน...
มิอาจละเลย ธรรมาภิบาล...
มิอาจก้าวผ่าน
การจับจ้องของเรา...
"ศูนย์ตรวจสอบและเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงอย่างสร้างสรรค์ของสังคมไทย."
มีสังคม ชุมชน ท้องถิ่น
หน่วยงาน องค์กร บุคลากร ฯลฯ ใดๆ
ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงอย่างสรรค์
หรือทำให้กระบวนการเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างสามานย์
ไม่สร้างสรรค์...
โปรดแจ้งเรา...
หรือใช้พื้นที่นี้เพื่อการควบคุมจริยธรรมของผู้คนในสังคมไทย...
เพื่อสร้างหลักประกันการเปลี่ยนแปลงสู่สิ่งที่ดีกว่า ให้สังคมไทยน่าอยู่...
ขอบคุณครับ

คันธง